| 
  ในเวลาเช้าของวันเพ็ญเดือน 
                        ๖ พระสิทธัตถะประทับนั่งใต้โคนต้นไทร นางสุชาดานำถาดอาหารมาเพื่อแก้บนรุกขเทวดาประจำต้นไทร 
                        พบพระสิทธัตถะก็เข้าใจว่าเป็นเทวดานั่งรอเครื่องพลีกรรม 
                        จึงนำข้าวมธุปายาสไปถวายทั้งถาด พระสิทธัตถะรับของถวายแล้วถือถาดไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา 
                        สรงสนานพระวรกายแล้วขึ้นมาประทับนั่งเสวยข้าวมธุปายาสจำนวน 
                        ๔๙ ปั้นจนหมด จากนั้นเสด็จไปประทับในดงไม้สาละ จนเวลาเย็นจึงเสด็จไปที่ต้นมหาโพธิ์ 
                        ทรงปูลาดหญ้าคา ๘ กำที่โสตถิยพราหมณ์ถวายในระหว่างทางลงใต้ต้นมหาโพธิ์ 
                        ประทับนั่งขัดสมาธิ ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก หันประปฤษฎางค์เข้าหาต้นมหาโพธิ์ 
                        ทรงอธิษฐานว่า "แม้เนื้อและเลือดจะเหือดแห้งไป เรายังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณตราบใด 
                        จะไม่ลุกขึ้นจากที่นี่ตราบนั้น"๑ 
 
  จากนั้น ทรงเจริญสมาธิภาวนาจนจิตเป็นสมาธิได้ฌานที่ ๔ แล้วบำเพ็ญภาวนาต่อไปจนได้ฌาน 
                        ๓ คือ ในยามที่หนึ่งของคืนนั้นทรงได้ปุพเพนิวาสนุสติญาณ 
                        คือ ระลึกชาติปางก่อนของพระองค์เองได้ ในยามที่ ๒ ทรงได้จุตูปปาตญาณ 
                        คือมีตาทิพย์สามารถเห็นการจุติและอุบัติของวิญญาณทั้งหลาย 
                        และในยามสุดท้าย ทรงได้อาสวักขยญาณ คือตรัสรู้อริยสัจ 
                        ๔ ว่าอะไรคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ความรู้นี้ทำให้กิเลสาสวะหมดสิ้นไปจากจิตใจ 
 
  พระพุทธเจ้าตรัสเล่าถึง 
                        สภาพจิตของพระองค์ขณะเข้าถึงความหลุดพ้นไว้ว่า "เมื่อเรารู้เห็น 
                        (อริยสัจ ๔) อย่างนี้ จิตจึงหลุดพ้นทั้งจาก กามาสวะ ภวาสวะ 
                        และอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว เราได้มีญาณหยั่งรู้ว่า 
                        ตัวเองหลุดพ้นแล้ว เรารู้แจ่มชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์จบแล้ว 
                        ทำหน้าที่สำเร็จแล้ว ไม่มีอะไรให้เป็นอย่างนี้อีกแล้ว"๒
 
 พระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเวลาที่แสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้า 
                        รวบระยะเวลาที่บำเพ็ญเพียรตั้งแต่ออกผนวชจนตรัสรู้ได้ ๖ 
                        ปี ขณะที่ตรัสรู้พระองค์มีพระชนมายุ ๓๕ พรรษา
 ---------------------------------
 ๑ 
                        อง.ทุก. ๒๐/๖๔/๒๕๑.
 ๒ 
                         ม.ม. ๑๓/๔๕๙/๑๖๖๔
 |